เบาหวาน โรคร้ายที่ไม่ควรมองข้าม มาทำความรู้จัก “อาการเบาหวาน” สาเหตุ กลุ่มเสี่ยง วิธีการป้องกัน และการรักษา

ข้ามไปหน้าหลัก
การดูแลสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี

“อาการโรคเบาหวาน”ภัยเงียบคุกคามสุขภาพ รู้ทันป้องกันได้

10/2024
อาการโรคเบาหวาน

 

เบาหวาน...ภัยเงียบที่คุกคามสุขภาพ! โรคเบาหวานมักไม่แสดงอาการในระยะเริ่มต้น ทำให้หลายคนไม่รู้ตัวว่ากำลังเผชิญหน้ากับโรคร้ายนี้ จนกระทั่งเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง บทความนี้จะพาผู้อ่านไปทำความรู้จักกับโรคเบาหวานให้มากขึ้น เพื่อที่จะได้สังเกตสัญญาณเตือนและดูแลสุขภาพของตัวเองได้อย่างเหมาะสม  
 

โรคเบาหวาน คืออะไร

โรคเบาหวาน (Diabetes) คือ ภาวะเรื้อรังที่ส่งผลต่อการใช้น้ำตาล (กลูโคส) ของร่างกาย เกิดจากความผิดปกติของฮอร์โมนอินซูลิน ส่งผลให้น้ำตาลในเลือดสูง โดยปกติร่างกายจะนำน้ำตาลจากอาหารมาใช้เป็นพลังงาน โดยอาศัยฮอร์โมนอินซูลินจากตับอ่อน แต่ในผู้ป่วยเบาหวานร่างกายไม่อาจผลิตอินซูลินได้เพียงพอ หรือร่างกายมีภาวะดื้อต่ออินซูลินส่งผลให้ น้ำตาลในเลือดสูงหากไม่ได้รับการรักษา อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนเรื้อรังได้
 

โรคเบาหวานมีกี่ชนิด

โรคเบาหวานแบ่งออกเป็น 4 ชนิดหลัก ดังนี้

  • โรคเบาหวานชนิดที่ 1 : เกิดจากร่างกายไม่สามารถผลิตฮอร์โมนอินซูลินได้ มักพบในเด็กและวัยรุ่น

  • โรคเบาหวานชนิดที่ 2 : เกิดจากร่างกายดื้อต่ออินซูลิน มักพบในผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ

  • โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ : เกิดขึ้นระหว่างตั้งครรภ์ มักหายไปหลังคลอด 

โรคเบาหวานที่มีสาเหตุจำเพาะ : เป็นโรคที่มีสาเหตุชัดเจน เช่น พันธุกรรม ยา หรือโรคที่ร่วมกับกลุ่มอาการอื่น ๆ เช่น Down syndrome, Turner syndrome, Prader-Willi syndrome โรคเบาหวานชนิดนี้มักจะมีรูปแบบการรักษาและการดูแลที่แตกต่างกันออกไปตามสาเหตุของโรค
 

สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคเบาหวาน

  1. การหลั่งอินซูลินบกพร่อง: เกิดขึ้นเมื่อตับอ่อนไม่สามารถผลิตหรือหลั่งอินซูลินให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ซึ่งอินซูลินเป็นฮอร์โมนที่สำคัญในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด หากมีการผลิตไม่เพียงพอหรือการทำงานของอินซูลินไม่ปกติ น้ำตาลในเลือดก็จะสูงขึ้นเกินไป ซึ่งส่งผลให้เกิดโรคเบาหวานได้
  2. โรคอ้วน มีน้ำหนักเกิน: คนที่มีน้ำหนักเกินหรืออ้วนมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคเบาหวานสูงขึ้น เนื่องจากมีการสร้างอินซูลินที่ไม่เพียงพอในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
  3. การสืบทอดทางพันธุกรรม: หากมีคนในครอบครัวเคยเป็นโรคนี้ ความเสี่ยงที่จะเป็นโรคเบาหวานจะสูงขึ้น เนื่องจากมีความผิดปกติในพันธุกรรมที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
  4. ความผิดปกติของตับอ่อน: โดยปกติแล้ว ตับอ่อนมีหน้าที่สำคัญในการผลิตอินซูลิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด แต่เมื่อตับอ่อนมีความผิดปกติ เช่น การทำงานไม่เพียงพอหรือผลิตอินซูลินในปริมาณไม่เพียงพอ จะทำให้ร่างกายไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  5. อายุ: การเพิ่มอายุมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคเบาหวานมากขึ้น เนื่องจากร่างกายมีการปรับตัวในการใช้น้ำตาลและอินซูลินลดลง
  6. การตั้งครรภ์: ในช่วงการตั้งครรภ์ ระดับฮอร์โมนต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงได้สามารถทำให้ร่างกายมีความไม่พร้อมในการใช้น้ำตาลและอินซูลิน
  7. พฤติกรรมการรับประทานอาหาร: การบริโภคอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูงและน้ำตาลสูง และการชอบรับประทานอาหารรสจัด สามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวานได้
  8. ขาดการออกกำลังกาย: การขาดการออกกำลังกายสามารถทำให้เกิดโรคเบาหวานได้ เนื่องจากการออกกำลังกายช่วยในการควบคุมน้ำตาลในเลือด
  9. ความเครียด: การมีความเครียดเรื้อรังสะสมสามารถทำให้เกิดโรคเบาหวานได้ เนื่องจากความเครียดสามารถส่งผลต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
  10. การดื่มแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่: การดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่สามารถทำให้ตับทำงานหนักและส่งผลทำให้ร่างกายดื้อต่ออินซูลิน
     

อาการเริ่มต้นของผู้ป่วยโรคเบาหวาน

  • ปัสสาวะบ่อย: การต้องปัสสาวะบ่อยมักเป็นสัญญาณเตือนแรกที่ผู้ป่วยโรคเบาหวานพบ เนื่องจากไตไม่สามารถคัดกรองน้ำตาลในเลือดได้อย่างเหมาะสม
  • คอแห้งและกระหายน้ำ: ผู้ป่วยโรคเบาหวานมักมีอาการคอแห้งและกระหายน้ำบ่อย เนื่องจากการขาดน้ำจากการปัสสาวะบ่อย
  • หิวบ่อยและการทานมากขึ้น: เนื่องจากน้ำตาลในเลือดไม่ได้ถูกนำไปใช้เป็นพลังงานได้อย่างเหมาะสม ผู้ป่วยจึงมีอาการหิวบ่อยและมักทานมากขึ้น
  • น้ำหนักลด: ผู้ป่วยโรคเบาหวานมักพบว่าน้ำหนักลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ
  • ชาปลายมือและปลายเท้า: อาจมีอาการชาหรือรู้สึกเสียความรู้สึกที่ปลายมือและเท้า
  • แผลหายช้า: แผลบางครั้งอาจใช้เวลานานในการหายและมีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย
  • ตาพร่ามัว: ผู้ป่วยโรคเบาหวานอาจมีอาการตาพร่ามัวหรือมองไม่ชัด
  • ผิวหนังแห้งและคัน: ผิวหนังอาจมีอาการแห้งและมีความคันได้ เนื่องจากการขาดน้ำในร่างกายและการปัสสาวะบ่อย

น้ำตาลเฉลี่ยสะสมคืออะไร

น้ำตาลเฉลี่ยสะสมคือค่าที่วัดระดับน้ำตาลในเลือดที่ตรวจจากการผสมกับโปรตีนในเม็ดเลือดแดง เป็นตัวบ่งบอกถึงปริมาณน้ำตาลในเลือดที่สะสมมาตลอด 2-3 เดือนที่ผ่านมา หมายความว่า เมื่อรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลมากเกินความจำเป็น ร่างกายจะเก็บไว้ในเลือดและสะสมทุกวัน จนมีปริมาณฮีโมโกลบินเอ วัน ซีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นการตรวจ HbA1c หรือการตรวจฮีโมโกลบิน เอ วัน ซี (Hemoglobin A1C; HbA1C) เป็นการวัดระดับน้ำตาลในเลือดเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันให้ถูกต้อง
 

เกณฑ์การวินิจฉัยโรคเบาหวาน

การวินิจฉัยเบาหวาน  

  • น้ำตาลหลังอดอาหารข้ามคืน (มากกว่า 8 ชั่วโมง) มากกว่า หรือ เท่ากับ 126 มิลลิกรัม/เดซิลิตร

  • น้ำตาล 2 ชั่วโมง หลังทดสอบความทนของกลูโคส (oral glucose tolerance test) มากกว่าหรือเท่ากับ 200 มก/ดล

  • น้ำตาลเวลาใดเวลาหนึ่ง มากกว่าหรือเท่ากับ 200 มก/ดล ร่วมกับมีอาการของเบาหวาน เช่น ปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำบ่อย ตามัว อ่อนเพลีย นน.ลด

  • น้ำตาลสะสม (HbA1c) มากกว่าหรือเท่ากับ 6.5 %

 
เกณฑ์การวินิจฉัยกลุ่มเสี่ยงเบาหวาน  

  • น้ำตาลหลังอดอาหารข้ามคืน (มากกว่า 8 ชั่วโมง) มากกว่า หรือ เท่ากับ 100-125 มิลลิกรัม/เดซิลิตร

  • น้ำตาล 2 ชั่วโมง หลังทดสอบความทนของกลูโคส (oral glucose tolerance test) มากกว่าหรือเท่ากับ 140-199 มก/ดล

  •  น้ำตาลสะสม (HbA1c) มากกว่าหรือเท่ากับ 5.7-6.4 %


ที่มา: Diagnosis and Management of Diabetes: Synopsis of the 2016 American Diabetes Association Standards of Medical Care in Diabetes
 

ภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน

โรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรังที่ส่งผลต่อระบบเผาผลาญน้ำตาลในร่างกาย เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูงเป็นเวลานาน จะส่งผลต่ออวัยวะต่าง ๆ ทั่วร่างกาย

ภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยของโรคเบาหวาน

  1. ภาวะแทรกซ้อนที่เส้นประสาท (Diabetic Neuropathy): ส่งผลต่อระบบประสาททั้งระบบ อาการ เช่น ชา ปลายมือ ปลายเท้า รู้สึกเสียวแปลบ อ่อนแรง ปวดแสบร้อน ท้องอืด อาหารไม่ย่อย ท้องผูก ท้องเสีย หัวใจเต้นเร็ว เหงื่อออกมาก
  2. ภาวะแทรกซ้อนที่จอประสาทตา (Diabetic retinopathy): หรือเบาหวานขึ้นตา ส่งผลต่อจอประสาทตา อาการ เช่น เห็นภาพพร่ามัว เห็นภาพเป็นคลื่น จุดดำบังสายตา ตาบอด
  3. ภาวะแทรกซ้อนที่ไต (Diabetic nephropathy): ส่งผลต่อไต อาการ เช่น ปัสสาวะอัลบูมิน (โปรตีนรั่วในปัสสาวะ) บวมน้ำ ความดันโลหิตสูง อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน
  4. โรคแทรกซ้อนจากหลอดเลือดใหญ่: ส่งผลต่อหลอดเลือดแดง ส่งผลต่อการไหลเวียนเลือด อาการ ขึ้นอยู่กับโรคที่เป็น (โรคหลอดเลือดแดงส่วนปลายตีบตัน โรคหลอดเลือดสมองตีบ โรคหัวใจขาดเลือด)
  5. โรคหลอดเลือดหัวใจ (coronary heart disease): ส่งผลต่อหัวใจ อาการ เช่น เจ็บหน้าอก หายใจลำบาก ใจสั่น เหงื่อออก คลื่นไส้ อาเจียน
  6. โรคหลอดเลือดสมอง (cerebrovascular disease): ส่งผลต่อสมอง อาการ เช่น อัมพฤกษ์ อัมพาต พูดลำบาก สูญเสียการทรงตัว ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน มองเห็นภาพซ้อน
  7. โรคหลอดเลือดแดงส่วนปลาย (peripheral vascular disease): ส่งผลต่อหลอดเลือดแดงส่วนปลาย อาการ เช่น ปวดขาเวลาเดิน แผลเรื้อรัง
  8. แผลเบาหวานที่เท้า (diabetic foot ulcer): เกิดจากการรวมตัวกันของเส้นประสาทเสื่อม การไหลเวียนเลือดไม่ดี และติดเชื้อได้ง่าย

การดูแลตนเองสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน

การดูแลตนเอง เป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ป้องกันภาวะแทรกซ้อน และช่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี แนวทางปฏิบัติ

  • ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด : ระดับน้ำตาลในเลือดควรอยู่ที่ 70-100 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร (mg/dL) หากมีภาวะความเสี่ยง หรือเบาหวานแฝง ระดับน้ำตาลในเลือดจะเท่ากับ 100 – 125 mg/dL หากมีมากกว่า 126 mg/dL มีความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน

  • ควบคุมความดันโลหิต : โดยทั่วไปความดันโลหิตที่เหมาะสมจะอยู่ที่ 120/80 มิลลิเมตรปรอทหากค่าเฉลี่ยเกิน 140/90 ถือว่ามีความเสี่ยงเป็นโรคความดันโลหิตสูง

  • ควบคุมไขมันในเลือด : คอเลสเตอรอล LDL ไม่ควรเกิน 200 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร (mg/dL) ไตรกลีเซอไรด์ ควรไม่เกิน 150 mg/dL และ คอเลสเตอรอล HDL ควรมากกว่า 40 mg/dL

  • เลิกสูบบุหรี่ : การสูบบุหรี่เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนเลิกสูบบุหรี่

  • ตรวจสุขภาพตา ไต เท้า เป็นประจำ: ตรวจสุขภาพอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง

  • ออกกำลังกาย : ออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาที 5 วันต่อสัปดาห์ เลือกกิจกรรมที่เหมาะกับสภาพร่างกาย

  • ควบคุมน้ำหนัก : น้ำหนักตัวที่เหมาะสมจะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ความดันโลหิต และไขมันในเลือด

  • ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ : เลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงอาหารหวาน มัน เค็ม 

  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ : ดื่มน้ำเปล่าอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง


การป้องกันและควบคุมโรคเบาหวานเป็นสิ่งที่ทำได้ในชีวิตประจำวัน การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และการพักผ่อนให้เพียงพอ ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญในการรักษาสมดุลของระดับน้ำตาลในเลือด การตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพและเฝ้าระวังอาการผิดปกติเป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันโรคเบาหวาน การตรวจสุขภาพประจำปีและปรึกษาแพทย์เมื่อมีข้อสงสัยจะช่วยให้สามารถวินิจฉัยและรักษาโรคได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น


หากเริ่มปฏิบัติตามคำแนะนำในการดูแลสุขภาพตั้งแต่วันนี้จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานและภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะสุขภาพที่ดีเป็นรากฐานสำคัญของคุณภาพชีวิตที่ดีในระยะยาว


เตรียมพร้อมรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน อย่าปล่อยให้ค่ารักษาพยาบาล มาทำให้แผนการใช้ชีวิตไม่เป็นไปตามที่ตั้งใจ เพราะค่ารักษาพยาบาลที่ไม่คาดคิดอาจสร้างปัญหาให้กับเงินออมและแผนการใช้ชีวิตได้ ให้ประกันสุขภาพจาก ชับบ์ ไลฟ์ ช่วยดูแลด้วยแบบประกันสุขภาพคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลและผ่าตัด ประกันชดเชยรายได้ และประกันโรคร้ายแรงมอบความคุ้มครองสุขภาพที่ครอบคลุม เพื่อปกป้องจากผลกระทบจากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น เมื่อเจ็บป่วยและต้องรักษาตัว


ที่มา

บทความ

ซีสต์ (cyst) ลักษณะ อาการ การรักษา และป้องกัน

ซีสต์ (cyst) คือก้อนหรือตุ่มที่เกิดขึ้นตามร่างกาย โดยมีลักษณะเป็นถุงที่บรรจุอากาศ ของเหลว น้ำ ไขมัน หรือมีเนื้อเยื่อผสมอยู่ก็ได้ ซึ่งถือเป็นความผิดปกติของร่างกาย ส่วนใหญ่จะไม่อันตรายและไม่ใช่มะเร็ง

รู้เท่าทัน โซเดียม เลือกทานอาหาร เพื่อสุขภาพหัวใจและไตที่แข็งแรง

โซเดียม แร่ธาตุที่มักถูกมองข้าม แต่มีบทบาทสำคัญต่อร่างกายมนุษย์ พบได้ในอาหารทั่วไป ในบทความนี้ จะมาทำความรู้จักกับโซเดียมให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เข้าใจถึงปริมาณโซเดียมที่ร่างกายต้องการต่อวัน ประโยชน์ และผลเสียของการกินโซเดียม

kidney

ฟอกไต วิธีรักษาโรคไตเรื้อรังที่ควรเข้าใจ

เคยสงสัยไหมว่าไตทำงานหนักแค่ไหนในแต่ละวัน? เสมือนโรงงานรีไซเคิลขนาดยักษ์ที่ไม่เคยหยุดพัก ไตคัดกรอง ดูดซึม และขับของเสียออกจากร่างกายอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แต่เมื่อโรงงานรีไซเคิลนี้เริ่มสะดุด โรคไตเรื้อรังอาจคืบคลานเข้ามา

สงวนลิขสิทธิ์ @ ชับบ์ 2022 เนื้อหาในเอกสารนี้มีขึ้นเพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น และจะไม่ถือว่าเป็นการให้คำแนะนำใด ๆ โปรดตรวจสอบข้อกำหนด เงื่อนไข และข้อยกเว้นฉบับสมบูรณ์ของนโยบายของเราเพื่อพิจารณาความเหมาะสม ความคุ้มครองอาจได้รับการรับประกันโดยบริษัทชับบ์ หรือบริษัทในเครือข่ายอย่างน้อยหนึ่งราย สิทธิความคุ้มครองและบริการบางอย่างอาจไม่สามารถใช้ได้ในบางประเทศและบางเขตพื้นที่ ชับบ์® และประทับตราพาณิชย์ของชับบ์ Insured.SM เป็นเครื่องหมายการค้าของชับบ์ที่ได้รับการคุ้มครอง

ติดต่อเรา 

ให้ ชับบ์ ไลฟ์ ปกป้อง ดูแลคุณ

หากท่านมีข้อสงสัยหรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติม โปรดติดต่อเรา เพื่อรับคําแนะนําเกี่ยวกับการปกป้อง คุ้มครองจากความเสี่ยงต่างๆ