ฝีดาษลิง: อย่าตื่นตระหนก รู้วิธีรับมือ ป้องกันได้

ข้ามไปหน้าหลัก
การดูแลสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี

ฝีดาษลิง: อย่าตื่นตระหนก รู้วิธีรับมือ ป้องกันได้

10/2024
ฝีดาษลิง


ในยุคที่ข้อมูลข่าวสารแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว การทำความเข้าใจข้อมูลที่ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่มีโรคระบาดเกิดขึ้น “โรคฝีดาษลิง” เป็นอีกหนึ่งโรคที่กำลังเป็นที่สนใจของทั่วโลก บทความนี้จะพาผุ้อ่านไปทำความรู้จักกับโรคฝีดาษลิงอย่างละเอียด ตั้งแต่สาเหตุ อาการ วิธีการแพร่ระบาด ไปจนถึงการป้องกันและการรักษา เพื่อให้สามารถรับมือกับสถานการณ์ได้อย่างมีสติ  
 

โรคฝีดาษลิง คืออะไร

ฝีดาษลิง หรือ Monkeypox คือ โรคระบาดที่กำลังสร้างความกังวลให้กับผู้คนทั่วโลก หลายคนอาจเข้าใจผิดว่า ลิงเป็นต้นตอของโรคนี้แต่ความจริงแล้วเชื้อไวรัสฝีดาษลิงพบได้ในสัตว์หลายชนิด ที่มีถิ่นกำเนิดในบนทวีปแอฟริกา โดยพบเชื้อในสัตว์ตระกูลลิง และสัตว์ฟันแทะ เช่น กระรอก หนู ตุ่น กระต่าย เป็นต้น เมื่อสัตว์เหล่านี้ติดเชื้อ เชื้อไวรัสจะแพร่กระจายไปยังสัตว์อื่น ๆ รวมถึงคน ดังนั้น ชื่อ "ฝีดาษลิง" จึงไม่ได้สื่อถึงต้นตอของโรค แต่เป็นการตั้งชื่อตาม สัตว์ที่ค้นพบโรคนี้ครั้งแรก โดยสายพันธุ์หลักของโรคฝีดาษลิงแบ่งออกเป็น 2 สายพันธุ์หลัก คือ

  1. สายพันธุ์ West African: มีอัตราการเสียชีวิตต่ำสุดอยู่ที่ประมาณ 1%
  2. สายพันธุ์ Congo Basin: มีอัตราการเสียชีวิตสูงสุดอยู่ที่ประมาณ 10%
     

โรคฝีดาษลิงแสดงอาการอย่างไร

โรคฝีดาษลิงแสดงอาการต่างๆ ซึ่งอาจแตกต่างไปตามความรุนแรงของโรคและระยะเวลาที่เป็นโรค อาการที่พบบ่อยสำหรับโรคฝีดาษลิงรวมถึง อาการของโรคฝีดาษลิงมีลักษณะต่างๆ ดังนี้:

  1. ไข้: ผู้ป่วยโรคฝีดาษลิงมักจะมีไข้สูงเป็นอาการแรกที่พบ เป็นสัญญาณที่บ่งชี้ว่าร่างกายกำลังต่อสู้กับเชื้อโรค

  2. ผื่นตุ่มหนอง: ผื่นของโรคฝีดาษลิงมักจะเริ่มต้นจากการมีตุ่มนูนแดงหรือแผลในปาก และพัฒนาต่อมาเป็นตุ่มน้ำใส ซึ่งตุ่มน้ำนี้จะเป็นตุ่มหนองที่จะแตกและแห้งลงเมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายกำลังต่อสู้กับเชื้อ

  3. ต่อมน้ำเหลืองโต: ต่อมน้ำเหลืองโตจะเป็นจุดที่เชื้อไวรัส Monkeypox ทำงานและเจริญเติบโต ซึ่งเป็นอาการที่เป็นเอกลักษณ์ของโรคนี้

  4. การแพร่เชื้อ: ผู้ป่วยสามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้ตั้งแต่มีอาการไข้ และยังสามารถแพร่เชื้อได้ในระยะต่อมน้ำเหลืองโต หากไม่มีการป้องกันอย่างเหมาะสม

  5. ระยะเวลาฟักตัว: โรคฝีดาษลิงมีระยะเวลาในการฟักตัวประมาณ 7-21 วัน ก่อนที่จะแสดงอาการที่ชัดเจน

  6. ระยะผลักดัน: หลังจากผ่านไป 2-4 สัปดาห์ ผู้ป่วยจะเริ่มดีขึ้น เมื่อผื่นหนองเริ่มแห้งลงและแผลเริ่มหาย

อาการของโรคฝีดาษลิงอาจมีความหลากหลายและแตกต่างไปตามบุคคลและระยะเวลาของโรค แต่หากมีอาการข้างต้นเกิดขึ้น ควรพบแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและการรักษาเพิ่มเติม และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อและลดความรุนแรงของโรคได้ในระยะต้น ๆ ของการติดเชื้อ
 

ฝีดาษลิงติดต่อได้อย่างไร

โรคฝีดาษลิง เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากเชื้อไวรัส มักพบในสัตว์ป่าในทวีปแอฟริกา แต่ปัจจุบันมีการระบาดในหลายประเทศทั่วโลกการติดต่อโรคฝีดาษลิง แบ่งเป็น 2 กลุ่มหลัก:

1. สัตว์สู่คน

  • สัมผัสโดยตรงกับเลือด สารคัดหลั่ง น้ำหนอง ตุ่มหนอง ผื่นของสัตว์ที่ติดเชื้อ
  • ถูกสัตว์ติดเชื้อกัดหรือข่วน
  • รับประทานอาหารที่มีเนื้อสัตว์ติดเชื้อและปรุงไม่สุก

2. คนสู่คน

  • สัมผัสโดยตรงกับสารคัดหลั่ง เช่น ไอ จาม ผื่น ตุ่มหนอง น้ำหนอง เป็นต้น สิ่งของที่ปนเปื้อนเชื้อของผู้ป่วย
  • มักมาจากการใช้ของร่วมกันกับผู้ป่วย เช่น ผ้าปูที่นอน เสื้อผ้า ผ้าเช็ดหน้า เป็นต้น


เพิ่มเติม

  • การสัมผัสโดยอ้อม: ผ่านวัสดุที่ปนเปื้อนเชื้อ เช่น ผ้าปูที่นอน เสื้อผ้า เป็นต้น
  • การติดต่อทางละอองฝอย: สูดดมละอองฝอยจากการไอ จาม หรือพูดของผู้ป่วย อยู่ในสถานที่แออัด อากาศถ่ายเทไม่สะดวก

การป้องกันโรคฝีดาษลิง

ปัจจุบันยังไม่มีการรักษาที่จำเพาะสำหรับโรคฝีดาษลิง แต่สามารถควบคุมการระบาดได้โดยป้องกันการติดเชื้อ โดยมีวิธีป้องกันการติดเชื้อ ดังนี้

  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสัตว์ป่า โดยเฉพาะสัตว์ฟันแทะ เช่น กระรอก หนู ลิง เป็นต้น

  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ป่วยโรคฝีดาษลิงจะมีผื่นขึ้นตามร่างกาย หลีกเลี่ยงการสัมผัสโดยตรงกับผื่น แผล หรือสะเก็ดของผู้ป่วย

  • หมั่นล้างมือ ด้วยน้ำสบู่เป็นประจำ โดยเฉพาะหลังสัมผัสกับสัตว์ป่า หรือสารคัดหลั่งของสัตว์ป่า กรณีไม่มีน้ำและสบู่ ให้ใช้เจลล้างมือที่มีแอลกอฮอล์ 70%

  • สวมใส่หน้ากากอนามัย เมื่ออยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วย หรือผู้สงสัยว่าป่วยเป็นโรคฝีดาษลิง

  • ทำความสะอาดฆ่าเชื้อพื้นผิวที่อาจปนเปื้อนเชื้อไวรัสฝีดาษลิงด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อโรค เน้นทำความสะอาดบริเวณที่สัมผัสกับผู้ป่วย หรือสัตว์ป่าบ่อยๆ

  • ทานอาหารปรุงสุก หลีกเลี่ยงการทานเนื้อสัตว์ป่า รับประทานอาหารปรุงสุกสะอาด

  • ไปพบแพทย์ทันทีหากมีอาการคล้ายโรคฝีดาษลิง เช่น ไข้หวัด ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ต่อมน้ำเหลืองโต มีผื่นขึ้น แจ้งประวัติการสัมผัสกับสัตว์ป่า หรือผู้ป่วยให้แพทย์ทราบ
     

การปฏิบัติตัวหากเป็นฝีดาษลิง

เมื่อได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคฝีดาษลิง สิ่งสำคัญคือต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
 

1. การแยกตัว

แยกตัวออกจากผู้อื่นในบ้านหรือชุมชน ควรพักอยู่ในห้อง ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้อื่น สวมหน้ากากอนามัยเมื่อต้องออกจากห้องหรืออยู่ใกล้ชิดกับผู้อื่น

2. การดูแลสุขภาพ

ดื่มน้ำและพักผ่อนให้เพียงพอ ทานอาหารที่มีประโยชน์รักษาความสะอาดของร่างกายล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำสบู่อาบน้ำหรือเช็ดตัวด้วยน้ำอุ่น หลีกเลี่ยงการเกาหรือแกะตุ่ม ใส่เสื้อผ้าที่มิดชิดเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ

3. การดูแลแผล

ทำความสะอาดแผลด้วยน้ำเกลือหรือน้ำยาฆ่าเชื้อใส่ยาฆ่าเชื้อบนแผลปิดแผลด้วยผ้าก๊อซสะอาดเปลี่ยนผ้าก๊อซบ่อยๆ

4. การสังเกตอาการ

สังเกตอาการของตัวเองอย่างใกล้ชิด แจ้งแพทย์ทันทีหากมีอาการป่วยเพิ่มเติม เช่น ไข้สูง หนาวสั่น ปวดกล้ามเนื้อ ปวดหลัง อ่อนเพลียแจ้งแพทย์ทันทีหากมีตุ่มหนองแตก

5. การฆ่าเชื้อ

ทำความสะอาดและฆ่าเชื้อพื้นผิวที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัสฝีดาษลิงด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ เน้นทำความสะอาดบริเวณห้องพัก ห้องน้ำ อุปกรณ์ที่ใช้ส่วนตัว ผ้าปูที่นอน ผ้าห่ม ผ้าเช็ดตัว ทำความสะอาดภาชนะที่ใช้ทานอาหารและเครื่องดื่ม

6. การปฏิบัติต่อผู้สัมผัสใกล้ชิด

ผู้ป่วยควรแจ้งบุคคลที่สัมผัสใกล้ชิดให้ทราบเกี่ยวกับการติดเชื้อฝีดาษลิง และแนะนำให้ไปพบแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยง รวมถึงกักตัวเป็นเวลา 21 วัน พร้อมสังเกตอาการของตนเองอย่างใกล้ชิด

7. ห้ามแคะ แกะ เกาผื่นหรือตุ่ม

การแคะ แกะ เกาผื่นหรือตุ่ม อาจทำให้เกิดแผลเป็น เพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรีย และอาจทำให้เชื้อไวรัสฝีดาษลิงแพร่กระจายได้ง่ายขึ้น

8. ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์

สิ่งสำคัญคือต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดแพทย์จะให้คำแนะนำที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคลการปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์จะช่วยให้หายป่วยเร็วขึ้น และป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไปยังผู้อื่น
 

โรคฝีดาษลิงเป็นแล้วหายเองได้หรือไม่

ฝีดาษลิง เป็นโรคติดต่อไวรัสที่ มักหายเองได้ โดยไม่ต้องรักษา โดยใช้ระยะเวลาประมาณ 2 - 4 สัปดาห์ อย่างไรก็ตาม อาการป่วยของแต่ละบุคคลอาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น สุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย อายุ โรคประจำตัว ความรุนแรงของอาการ ในบางกรณี ผู้ป่วยอาจมีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น ปอดอักเสบ สมองอักเสบ ตาอักเสบ เสียชีวิต ดังนั้น แม้ว่าฝีดาษลิงจะเป็นโรคที่หายเองได้ แต่ การรักษาพยาบาล ยังคงมีความจำเป็น

โรคฝีดาษลิงแม้จะเป็นโรคที่มีอัตราการเสียชีวิตต่ำ แต่ก็ไม่ควรมองข้ามความสำคัญของการเฝ้าระวังและป้องกัน ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรคนี้จึงเป็นกุญแจสำคัญในการควบคุมการแพร่ระบาดและลดผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน การรักษาสุขอนามัยส่วนบุคคล การหลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่อาจติดเชื้อ และการปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขอย่างเคร่งครัด ล้วนเป็นวิธีการสำคัญในการป้องกันตนเองและชุมชน ในขณะเดียวกัน การติดตามข้อมูลข่าวสารจากแหล่งที่เชื่อถือได้และการไม่แพร่กระจายข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง จะช่วยลดความตื่นตระหนกและสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องในสังคม ด้วยความร่วมมือของทุกภาคส่วน สามารถรับมือกับความท้าทายด้านสุขภาพนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และก้าวผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน

เตรียมพร้อมรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน อย่าปล่อยให้ค่ารักษาพยาบาล มาทำให้แผนการใช้ชีวิตไม่เป็นไปตามที่ตั้งใจ เพราะค่ารักษาพยาบาลที่ไม่คาดคิดอาจสร้างปัญหาให้กับเงินออมและแผนการใช้ชีวิตได้ ให้ประกันสุขภาพจาก ชับบ์ ไลฟ์ ช่วยดูแลด้วยแบบประกันสุขภาพคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลและผ่าตัด ประกันชดเชยรายได้ และประกันโรคร้ายแรง มอบความคุ้มครองสุขภาพที่ครอบคลุม เพื่อปกป้องผลกระทบจากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นหากเจ็บป่วยขึ้นมา และต้องรักษาตัว
 

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโรคฝีดาษลิง

1. ฝีดาษลิงต่างจากฝีดาษอย่างไร?

ฝีดาษลิง และ ฝีดาษ เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากไวรัสในกลุ่มเดียวกัน แต่มีความแตกต่างกันทั้งในด้านสายพันธุ์ของไวรัส วิธีการติดต่อ อาการ และความรุนแรงของโรค โดย ฝีดาษ นั้นจะติดต่อจากคนสู่คน ส่วนฝีดาษลิงจะติดต่อจากคนสู่คน และจากสัตว์สู้คน

2. วิธีการป้องกันฝีดาษลิงอย่างไร?

การป้องกันฝีดาษลิงรวมถึงการหลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์ป่า การล้างมืออย่างสม่ำเสมอ และการสวมหน้ากาก

3. โรคฝีดาษลิงติดต่อกันยังไง?

สามารถติดต่อผ่านการสัมผัสกับเชื้อไวรัสฝีดาษลิงในน้ำมูกหรือน้ำตาของลิงหรือสัตว์ป่าที่เป็นพาหะ และหากถูกข่วน กัด หรือสัมผัสกับเนื้อของสัตว์ที่ตายแล้ว ก็สามารถติดเชื้อได้เช่นกัน

4. ฝีดาษลิงสามารถระบาดในประเทศไทยได้หรือไม่?

ในประเทศไทยมีรายงานการติดเชื้อฝีดาษลิงในบางพื้นที่ แต่ยังไม่มีการระบาดที่มีความรุนแรง

5. เป็นโรคฝีดาษลิงสามารถหายเองได้หรือไม่?

ฝีดาษลิงเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส และในบางกรณีเชื้อไวรัสอาจหายไปเองได้ เฉพาะกรณีที่ร่างกายของบุคคลมีระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงพอที่จะไล่ไวรัสออกจากร่างกายได้ อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกคนที่ติดเชื้อฝีดาษลิงจะหายไปเอง การรักษาอาจจำเป็นต้องใช้การรักษาทางการแพทย์เพื่อช่วยให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับเชื้อไวรัสได้ดียิ่งขึ้น 


ที่มา

บทความ

ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ป้องกันตัวเองและคนรอบข้าง

เรียนรู้เกี่ยวกับความดันโลหิตสูง: สาเหตุ อาการ และวิธีการรักษาอย่างละเอียด พร้อมแนวทางการป้องกันและดูแลสุขภาพให้แข็งแรง

ซีสต์ (cyst) ลักษณะ อาการ การรักษา และป้องกัน

ซีสต์ (cyst) คือก้อนหรือตุ่มที่เกิดขึ้นตามร่างกาย โดยมีลักษณะเป็นถุงที่บรรจุอากาศ ของเหลว น้ำ ไขมัน หรือมีเนื้อเยื่อผสมอยู่ก็ได้ ซึ่งถือเป็นความผิดปกติของร่างกาย ส่วนใหญ่จะไม่อันตรายและไม่ใช่มะเร็ง

15 อาหารบำรุงสมอง เสริมความจำ ป้องกันสมองเสื่อม

ใครบอกสมองเสื่อมคือเรื่องของผู้สูงวัย จริง ๆ แล้วสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกวัย ขอแนะนำ 15 อาหารบำรุงสมอง ที่ช่วยเสริมความจำ ป้องกันโรคสมองเสื่อม

สงวนลิขสิทธิ์ @ ชับบ์ 2022 เนื้อหาในเอกสารนี้มีขึ้นเพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น และจะไม่ถือว่าเป็นการให้คำแนะนำใด ๆ โปรดตรวจสอบข้อกำหนด เงื่อนไข และข้อยกเว้นฉบับสมบูรณ์ของนโยบายของเราเพื่อพิจารณาความเหมาะสม ความคุ้มครองอาจได้รับการรับประกันโดยบริษัทชับบ์ หรือบริษัทในเครือข่ายอย่างน้อยหนึ่งราย สิทธิความคุ้มครองและบริการบางอย่างอาจไม่สามารถใช้ได้ในบางประเทศและบางเขตพื้นที่ ชับบ์® และประทับตราพาณิชย์ของชับบ์ Insured.SM เป็นเครื่องหมายการค้าของชับบ์ที่ได้รับการคุ้มครอง

ติดต่อเรา 

ให้ ชับบ์ ไลฟ์ ปกป้อง ดูแลคุณ

หากท่านมีข้อสงสัยหรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติม โปรดติดต่อเรา เพื่อรับคําแนะนําเกี่ยวกับการปกป้อง คุ้มครองจากความเสี่ยงต่างๆ